วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2551

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เรือรบYamato






เรือรบหลวงยามาโต มีการสร้างไว้อย่างลับสุดยอดในบริเวณด้านหลังฐานทัพเรือในจังหวัดฮิโรชิมาของญี่ปุ่น กล่าวกันว่าแบบแปรนหรือพิมพิ์เขียวในการสร้างนั้นไม่มีวิศวกรอาศัยแบบร่างหลาย ๆ ชิ้นมาพิจารณาในการสร้าง เพราะถือว่าเป็นความลับสุดยอด ยามาโตถือได้ว่าเป็นเรือรบที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อครั้นที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ข่าวเกี่ยวกับเรือลำนี้ พวกเขาเชื่อว่าเรือยามาโตมีขนาดไม่ต่างจากเรือรบขนาดใหญ่ของฝ่ายตนมากนัก แต่เมื่อเปรียบเทียบกันตามจริงเรือยามาโตมีขนาดใหญ่กว่ามาก ป้อมปืน 3 ป้อม ติดปืนใหญ่ป้อมล่ะ 3 กระบอกปืนแต่ล่ะกระบอกขนาด 18.1 นิ้ว ซึ่งถือได้ว่าไม่มีเรือรบลำใดในโลกที่มีปืนใหญ่ขนาดนี้ แม้แต่เจ้าแห่งนาวีอย่างประเทศอังกฤษก็ยังมีแต่เรือที่ติดปืนใหญ่ขนาด 18 นิ้ว ใช้สำหรับเรือระดมยิงชายฝั่งเท่านั้น

ในปี พ.ศ. 2477 ภายหลังจากการทำสัญญาลดอาวุธแล้ว จักรพรรดินาวีได้ถือโอกาส พยายามแข่งขันการสร้างเรือประจัญบานที่มีอานุภาพสูงกับอังกฤษ และสหรัฐฯ แต่เนื่องจากปัญหาด้านการเงินทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถต่อเรือสู้สหรัฐ ได้ จึงได้วางแผนว่า ไหนๆ จะสร้างเรือแล้ว ก็สมควรที่จะสร้างให้มีขนาดใหญ่อีกทั้งมีอาวุธปืนใหญ่ที่เรือข้าศึกไม่สามารถจะเข้ามา ในรัศมีของปืนเรือขนาดใหญ่นี้ได้เลย จึงสมควรที่จะมีเรือประจัญบานที่มีจำนวนน้อยกว่า แต่มีสมรรถนะที่เหนือกว่าศัตรูในการต่อกรกับสหรัฐ ฯ ที่ช่วงชิงความ เป็นใหญ่ในมหาสมุทร แปซิฟิก ญี่ปุ่นจึงได้เริ่มวางแผนในการสร้างเรือประจัญบานลำที่ 1 โดยใช้ชื่อว่า "ยามาโต้" ลำที่ 2 ให้ชื่อว่า "มุซาชิ" ลำที่ 3 ใช้ชื่อว่า "ชินาโน" ทั้งมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนขึ้นจนถึง 5 ลำด้วยกัน ด้วยการติดตั้งปืนใหญ่เรือขนาด 18 นิ้ว หรือ 46 เซนติเมตร จำนวนลำละ 9 กระบอก ที่มีรัศมีการยิงเหนือเรือประจัญบานของศัตรู สำหรับกองเรือที่ 16 นั้น จะนำการติดตั้งปืนเรือขนาดใหญ่ ขนาด 46 เซนติเมตร จำนวนหลายกระบอก โดยให้ชื่อว่า เรือลาดตระเวนประจัญบาน ซึ่งแต่ละลำมีระวางลำละ 47,000 ตัน ซึ่งการออกแบบ นั้นลุล่วง ไปด้วยดี แต่หลังจากสัญญาลดอาวุธที่กรุงวอชิงตัน ญี่ปุ่นได้สัดส่วนของเรือสงคราม 5 : 5 : 3 หรือ 10 : 10 : 6 นั้น คือ อังกฤษ กับสหรัฐ ฯ ได้ประเทศละ 10 ส่วนญี่ปุ่นนั้นได้เพียง 6 เท่านั้น ในการนี้ผู้แทนของญี่ปุ่นที่ไปร่วมประชุมนั้นกลับมารายงานจอมพลเรือโตโง เฮฮัจจิโร่ว ว่า เราแพ้เขาเสียแล้ว ท่านจอมพลเรือพูดเรียบ ๆ ว่า "สำหรับการฝึกนั้นไม่มีการจำกัดด้วยใช่ไหม" ดังนั้นที่มีมติของจักรพรรดินาวี มีการฝึกใน 1 สัปดาห์นั้น ถึง 7 วัน ไม่มีวันเสาร์ อาทิตย์ คือ เง็ด, เง็ด, คะ, ซุย, มก, คิน, คิน จันทร์ - จันทร์ - อังคาร - พุธ - พฤหัสบดี - ศุกร์ - ศุกร์ ตัดวันเสาร์อาทิตย์ออกไป ทั้งลดความสบายสำหรับทหารประจำเรือไปเพิ่มอาวุธทุกชนิดให้มากกว่าเรือของคู่ต่อสู้ ทั้งมีเพลงร้องเพื่อปลุกใจเหล่าทหารของราชนาวีอีกด้วย ดังนั้นแผนที่จะสร้างกองเรือที่ 88 นั้น ก็กลายเป็นอากาศธาตุไปอย่างไม่มีทางเลือก ในการออกแบบสร้างเรือประจัญบานมาได้นั้น ได้ข้อมูลในการออกแบบไว้ก่อนหน้านี้เป็นรากฐาน มีการปรับปรุงเพิ่มเติมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้นในเวลาที่ผ่านมาร่วม 20 ปี เรือประจัญบานยามาโต้ เคยถูกฝูงบินโจมตีของสหรัฐ ฯ เข้าโจมตี เมื่อ 24 ธันวาคม พ.ศ.2486 ในระหว่างการเดินทางไปเกาะนิวบริเตน โดยได้บรรทุกทหารบก จำนวน 1,000 นายไปด้วย เพื่อไปส่งที่ฐานทัพ ราบาว บนเกาะนิวบริเตน ต่อมาเมื่อเดินทางออกจากฐานทัพ เรือหน้า วงปะการังตรุก ในหมู่เกาะ คาโรไลน์ ได้ถูกเรือดำน้ำ สเคท (SS-305) ยิงด้วยตอร์ ปิโดถูกที่บริเวณ ยุ้งโซ่สมอ ทำให้ทหารที่กำลังเรียงโซ่สมอเสียชีวิตไป 6 นาย แต่เรือไม่ได้รับ ความเสียหายยังสามารถทำความเร็วได้ถึง 27 นอต เป็นปกติ นับเป็นครั้งแรกที่ถูกโจมตีจาก เรือดำน้ำสหรัฐฯ และในยุทธการ "โช" ขณะเดินทางผ่านทะเลซิบูยัน ร่วมกับเรือ มุซาชิ ใน กำลังรบส่วนกลางก็ถูกเครื่องบินจากกำลังรบที่ 38 ของสหรัฐ ฯ โจมตีเมื่อ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2487 เรือยามาโต้ ได้รับความเสียหายเล็กน้อย
วันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2488 เรือประจัญบานยามาโต้ พร้อมด้วยเรือลาดตระเวน เบา ยะฮะงิ เรือพิฆาต สึซึสึกิ ฟุยุสึกิ อิโซะคาเซะ ยุคิคาเซะ ฮามะคาเซะ อาซะชิโมะ คาซุมิ และฮัดสึชิโมะ รวม 10 ลำ ได้ออกเดินทางจากที่จอดเรือ ฮัดจิราชิมะ ของจังหวัดยามากุจิ ผ่าน ช่องแคบบังโง เลาะชายฝั่งของแหลมโอซุมิ ของจังหวัด คะโงชิมะ แล้วเดินทางต่อไปทางตะวัน ตก เพื่อเปลี่ยนเข็มลงใต้เข้าสู่เกาะโอคินาวา ก็ถูกโจมตีจากกำลังทางอากาศของกำลังรบ เฉพาะ กิจที่ 58 โดยการโจมตีหลักมาจากหมวดเฉพาะกิจที่ 58.1 ซึ่งประกอบด้วยเรือบรร ทุกเครื่องบิน ฮอร์เน็ต ลำที่ 2 (CV-12) วาส์พ ลำที่ 2 (CV-18) เบ็นนิงตัน (CV-20) เรือบรร ทุกเครื่องบินเบา เบลลิว วูด (CVL-24) ซาน ฮาซินโต้ (CVL-30) และหมวดเฉพาะกิจที่ 58.3 ประกอบด้วยเรือบรรทุกเครื่องบิน เอสเซ็ก (CV-9) บังเกอร์ ฮิล (CV-17) เรือบรรทุก เครื่องบินเบา คาบอต (CVL-27) และ บาตาอัน (CVL-29) ส่วนเรือบรรทุกเครื่องบินแฮนคอก (CV-19) ส่งเครื่องบิน 53 เครื่อง ขึ้นช้าไป 15 นาที จึงไม่พบเป้าหมาย กำลังหลักในการ โจมตีทางอากาศของหมวดเฉพาะกิจทั้งสองนี้มีเครื่องบินขับไล่ F6F (เฮลแคท) 283 เครื่อง เครื่องบินขับไล่โจมตี F4U (คอร์แซร์) 180 เครื่อง เครื่องบินดำทิ้งระเบิด SB2C (เฮล ได เวอร์) 72 เครื่อง และเครื่องบินทิ้งตอร์ปิโด TBM (อเวนเจอร์) 114 เครื่อง เครื่องบินเหล่านี้ ได้เข้าโจมตีกำลังรบโจมตีพิเศษ ที่มีเรือประจัญบานยามาโต้ เป็นเรือธง 6 ระลอก
ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2488 กองทัพสหรัฐมีการพิจารณาให้ใช้เรือทั้งหมด 10 ลําเข้าบุกเกาะโอกินาว่า เรือยามาโตะได้รับคำสั่งจากกองทัพญี่ปุ่นให้เข้าปฏิบัติการที่เรียกว่า KIKUSUI โดยมีภารกิจให้ทำการล่อฝูงบินอเมริกันให้ออกจากน่านน้ำโอกินาวา เปิดโอกาสให้ฝูงบินคามิคาเซ่ของญี่ปุ่นบินฝ่าด่านป้องกันของฝูงบินอเมริกา เพื่อเข้าโจมตีกองทัพเรือและปกป้องไม่ให้กองทัพสหรัฐยึดเกาะโอกินาวาได้ แต่ในปฏิบัติการนี้เรือยามาโตะมีน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงแค่เที่ยวเดียวเท่านั้น เรือประจัญบานยามาโตะและเรือลําอื่นถูกตรวจพบในเวลาหลังเริ่มปฏิบัติการ 12.35 นาที จึงถูกเครื่องบินสหรัฐ 3 หน่วยกิจเข้าโจมตีซึ่งแต่ละหน่วยกิจมีเครื่องบินหน่วยละ 360 ลําต่อหน่วย เรือประจัญบานยามาโตะโดนโจมตีทางอากาศอย่างหนักตั้งแต่ 12.35 น. - 14.23 น. จนทําความเสียหายแก่เรือมากดังนั้นเรือจึงเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง จากการตรวจสอบ เรือประจัญบานยามาโตะถูกตอร์ปิโดทั้งหมด 13 ลูก ลูกระเบิดขนาดใหญ่ซึ่งมีขนาด 250กก. - 500กก. ทั้งหมด 6 ลูก ลูกระเบิดขนาดกลางอีกมากกว่า 100 ลูก และลูกระเบิดขนาดเล็กอีกมากกว่า 120 ลูก เมื่อวันที่ 7 เมษายน พ.ศ.2488 เรือประจัญบานยามาโต้ พร้อมด้วยเรือลาดตระเวน เบา ยะฮะงิ เรือพิฆาต สึซึสึกิ ฟุยุสึกิ อิโซะคาเซะ ยุคิคาเซะ ฮามะคาเซะ อาซะชิโมะ คาซุมิ และฮัดสึชิโมะ รวม 10 ลำ ได้ออกเดินทางจากที่จอดเรือ ฮัดจิราชิมะ ของจังหวัดยามากุจิ ผ่าน ช่องแคบบังโง เลาะชายฝั่งของแหลมโอซุมิ ของจังหวัด คะโงชิมะ แล้วเดินทางต่อไปทางตะวัน ตก เพื่อเปลี่ยนเข็มลงใต้เข้าสู่เกาะโอคินาวา ก็ถูกโจมตีจากกำลังทางอากาศของกำลังรบ เฉพาะ กิจที่ 58 โดยการโจมตีหลักมาจากหมวดเฉพาะกิจที่ 58.1 ซึ่งประกอบด้วยเรือบรร ทุกเครื่องบิน ฮอร์เน็ต ลำที่ 2 (CV-12) วาส์พ ลำที่ 2 (CV-18) เบ็นนิงตัน (CV-20) เรือบรร ทุกเครื่องบินเบา เบลลิว วูด (CVL-24) ซาน ฮาซินโต้ (CVL-30) และหมวดเฉพาะกิจที่ 58.3 ประกอบด้วยเรือบรรทุกเครื่องบิน เอสเซ็ก (CV-9) บังเกอร์ ฮิล (CV-17) เรือบรรทุก เครื่องบินเบา คาบอต (CVL-27) และ บาตาอัน (CVL-29) ส่วนเรือบรรทุกเครื่องบินแฮนคอก (CV-19) ส่งเครื่องบิน 53 เครื่อง ขึ้นช้าไป 15 นาที จึงไม่พบเป้าหมาย กำลังหลักในการ โจมตีทางอากาศของหมวดเฉพาะกิจทั้งสองนี้มีเครื่องบินขับไล่ F6F (เฮลแคท) 283 เครื่อง เครื่องบินขับไล่โจมตี F4U (คอร์แซร์) 180 เครื่อง เครื่องบินดำทิ้งระเบิด SB2C (เฮล ได เวอร์) 72 เครื่อง และเครื่องบินทิ้งตอร์ปิโด TBM (อเวนเจอร์) 114 เครื่อง เครื่องบินเหล่านี้ ได้เข้าโจมตีกำลังรบโจมตีพิเศษ ที่มีเรือประจัญบานยามาโต้ เป็นเรือธง 6 ระลอกด้วยกัน ราย ละเอียดการถูกโจมตีของเรือประจัญบานยามาโต้มีดังนี้ ระลอกโจมตี เวลา จำนวนเครื่องบิน ความเสียหาย 1 12.35 -12.50 260 ถูกตอร์ปิโดที่กราบซ้าย 1 ลูกถูกลูกระเบิด ที่ท้ายเรือทหารเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก 2 13.18 - 13.34 120 ถูกตอร์ปิโดที่กราบซ้าย 3 ลูก พลประจำปืนกลต่อ สู้อากาศยานเสียชีวิตถึง 1 ใน 4 เรือ เอียง 8องศา 3 13.35 -13.53 150 ถูกตอร์ปิโดที่กราบขวา 1 ลูกกราบซ้าย 3 ลูก เรือเอียง 15 องศา ความเร็วเหลือ 18 นอต 4 14.07 -14.20 150 ถูกตอร์ปิโดที่กราบขวาอีก 4 ลูกถูกลูกระเบิด 15 ลูกความเร็วเหลือ 7 นอต เรือตีวงไปทางซ้าย เรื่อยๆ ไม่หยุด 5-6 14.25 150 ระบบการสื่อสารเสียหายทั้งหมดเครื่องถือท้ายขัดข้องต้องใช้แรงคนบังคับหางเสือถูกที่กราบซ้ายอีก1 ลูก ถูกลูกระเบิดอีกนับไม่ถ้วน เรือเอียง 35 องศาเกิดการระเบิดและจมโดยตะแคง ทางกราบซ้ายแล้วพลิกคว่ำบริเวณ 200 ไมล์ เหนือเกาะตกกุชิมะ จังหวัด คะโงชิระดับน้ำลึก325เมตร จากการโจมตีรวมประมาณ 1,000 เที่ยวบิน ทางฝ่ายสหรัฐ ฯ แจ้งว่าได้ใช้ตอร์ปิโดไป 200 ลูก ลูกระเบิดขนาดใหญ่ (250 - 500 กิโลกรัม) 100 ลูก และลูกระเบิดขนาดกลาง (60 - 100 กิโลกรัม) อีกมากกว่า 200 ลูก หลังจากที่เรือรบญี่ปุ่นคือ เรือประจัญบานยามาโต้ เรือ ลาดตระเวนเบา ยะฮะงิ และเรือพิฆาตอีก 5 ลำ จมไปแล้ว ทหารเรือญี่ปุ่นที่ลอย คออยู่ในน้ำ ได้ถูกเครื่องบินของสหรัฐ ฯ ทำการยิงกราดอย่างโหดร้ายไร้มนุษยธรรม และความเป็นชาวเรือ(ความเห็นผมทหารสหรัฐคงแค้นที่ทหารสหรัฐในฟิลิปินส์ถูกทหารญี่ปุ่ณเผาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่คือเอาไปขังราดน้ำมันแล้วโยนไฟไส่ราวๆ5-8000คน) ส่วน พลเรือโท อิโต้ เซอิจิ ผู้บัญชาการ กำลังรบโจมตีพิเศษ และ นาวาเอก อะริกะ โกซักกุ ผู้บังคับการเรือ ประจัญบาน ยามาโต้ ได้สละชีวิตจมไปกับเรือ

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เรือรบBismarck












เรือรบที่มาอานุภาพสูงสุดต้องประกอบได้ด้วย ความเร็ว, การป้องกันที่ดี, และ อานุภาพการยิงที่สูง เรือ Bismarck นั้นมีเกราะเหล็กที่หนาและปืนใหญ่ขนาด 15 นิ้วที่ทรงอานุภาพ เป็นความภูมิใจของกองทัพเรือเยอรมัน14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1939 เรือรบ Bismarck ได้สร้างตัวเรือเสร็จและพร้อมปล่อยลงน้ำ

เรือ Bismarck หนัก 35,000 ตัน แต่จริงๆ แล้วเมื่อรวมน้ำหนักทั้งหมดก็จะหนักมากกว่า 50,000 ตัน มีขนาดที่ใหญ่ ลำตัวเรือยาว 251 เมตร สามารถแล่นด้วยความเร็ว 30.1 น๊อต (55.7 กิโลเมตร/ชั่วโมง) มีเกราะเหล็กหนา 13 นิ้ว ป้อมปืนใหญ่ 4 ป้อมป้อมล่ะ 2 กระบอกอยู่ตรงส่วนหน้าและท้ายเรืออย่างล่ะ 2 ป้อม ปืนใหญ่มีขนาด 15 นิ้ว 8 กระบอก บรรจุกระสุนขนาด 200 ปอนด์ ระยะการยิ่งไกล 20 ไมล์

เมื่อ 50 ปีก่อน การปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษ เกราะเหล็ก เครื่องจักรไอน้ำ ทำให้อังกฤษสามารถผลิตเรือรบที่ทรงอานุภาพ เป็นผลให้ราชนาวีอังกฤษครองความยิ่งใหญ่ทางน้ำมาโดยตลอด และใช้กำลังทางน้ำเป็นกำลังรบหลัก สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ความสามารถของกองทัพเรืออังกฤษและเยอรมัน มีศักยภาพใกล้เคียงกันมาก แต่ในที่สุดในปี ค.ศ.1918 เยอรมันแพ้สงคราม

ปี 1939 กองทัพเรือของอังกฤษมีเรือมากกว่าฝ่ายเยอรมันถึง 10 เท่า แต่เรือ Bismarck นั้นยังไม่พร้อมเข้าประจำการรบ เพราะบนดาดฟ้าเรือนั้น ยังไม่มีการติดตั้งปืนใหญ่ใดๆ และยังต้องการเวลาอีก 18 เดือน เพื่อให้เสร็จสมบูรณ์พร้อมรบ

1 กันยายน 1939 การบุกเข้าโปรแลนด์ของเยอรมัน ทำให้ฝ่ายอังกฤษมีการเคลื่อนไหว แต่ทางกองทัพเรือเยอรมันยังไม่พร้อม แต่ก็จำเป็นที่ต้องโจมตี เรือขนสินค้าที่เล่นเข้าสู่อังกฤษเป็นเป้าหมายในการถล่มของเยอรมัน เพื่อให้อังกฤษได้รับความเสียหาย Bismarck ทำการจมเรือพาณิชย์ไปหลายลำ ทำให้ฝ่ายอังกฤษต้องการที่จะทำลายเรือ Bismarck ของเยอรมันให้ได้

ย้อนกลับไปเมื่อปี ค.ศ.1920 เรือ H.M.S Hood ของอังกฤษถือได้ว่าเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่และมีความเร็วมาก ถือเป็นความภาคภูมิใจของราชนาวีอังกฤษ ศักยภาพของเรือ Bismarck นั้นพอๆ กับเรือ H.M.S. Hood แต่แตกต่างกันที่เรือ H.M.S. Hood นั้นออกมาแบบเพื่อใช้สำหรับลาดตระเวณมากกว่าที่จะทำการรบ เพราะมีเกราะที่บางเกินไป

20 สิงหาคม 1940 เรือ Bismarck ได้เข้าประจำการจบ หลังจากที่ใช้เวลาไปในการติดอาวุธต่างๆ ให้พร้อมรบ เรือ Bismarck มีขนาดใหญ่จนกัปตันเรือ Bismarck กล่าวว่า "โดยทั่วไปแล้วเรือมักจะเป็นเพศหญิง แต่นี่มันใหญ่และแข็งแรงมาก มันควรจะเป็นเพศชายมากกว่า"

40% ของน้ำหนักเรือคือเกราะเหล็ก กำลังขับเคลื่อน 1,500 แรงม้า บรรจุน้ำมันได้ 700 ตัน มีเรด้าห์ประจำอยู่ที่ตัวเรือ และมีลูกเรือประจำการ 2,200 คน มีสะเบียงเพียงพอที่สามารถอยู่ได้ถึง 3 เดือนโดยไม่เข้าฝั่ง ภายในเรือมี ยา หมอ ช่างเสื้อ แม่บ้าน ฯลฯ และในสถานการณ์ที่วิกฤติก็สามารถทำให้ที่เข้าประจำการได้

2 เมษายน 1941 เป็นการปฏิบัติการครั้งแรกและเป็นปฏิบัติการสุดท้ายของ Bismarck คือการตัดเส้นทางพาณิชย์ และจมเรือสินค้า การหาเป้าหมายของ Bismarck ของฝ่ายอังกฤษเป็นไปได้ยากมาก ต้องอาศัยโชคและการสังเกตของเรือที่ได้รับการติดต่อมาเท่านั้น(สมัยนั้นเรดาห์ยังไม่ทันสมัยเท่าปัจจุบัน) ปฏิบัติการของ Bismarck ในครั้งนี้ชื่อว่า Exercise Rhine โดยได้ออกปฏิบัติการกับเรืออีกลำชื่อ ปรินซอเก้น ปฏิบัติการนี้ เยอรมันต้องการให้ Bismarck หลบออกสู่แอนแลนติก เพื่อใช้ในการทำสงครามต่อไป
  • วันที่ 1 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (19 พฤษภาคม 1941) เรือ Bismarck พร้อมออกจากท่า หลังจากที่ทำการโจมตีเรือพาณิชย์มาตลอด 3 เดือน

  • วันที่ 3 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (21 พฤษภาคม 1941) Bismarck นั้นไม่ได้เติมเชื้อเพลิงให้เต็ม ถือได้ว่าเป็นจุดผิดพลาดอย่างมากของฝ่ายเยอรมัน Bismarck ได้ทำการทาเรือให้เป็นสีเทาเพื่อเป็นการพรางขนาดของเรือให้กลืนไปกับหมอกในมหาสมุทรแอตแลนติก แต่ด้วยอากาศที่แจ่มใสในวันนั้น เครื่องบินของฝ่ายอังกฤษทำการบินออกลาดตระเวณและถ่ายภาพเรือ Bismarck ได้ ฝ่ายอังกฤษต้องการความชัดเจนอย่างมากในเรื่องตำแหน่งของเรือ Bismarck, เรือ Bismarck และPrinz Eugen ยังคงเคลื่อนตัวต่อไปตามแผนเดิมโดยอ้อมเกาะ Iceland ทางทิศเหนือเพื่อออกสู่แอตแลนติก โดยฝากความหวังไว้กับสภาพอากาศและการพรางตัว

  • วันที่ 4 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (22 พฤษภาคม 1941) ฮิตเลอร์พึ่งได้ทราบภาระกิจของ Bismarck และแสดงความไม่พอใจอย่างมาก แต่จะให้ถอนตัวในตอนนี้คงสายไปแล้ว ฝ่ายอังกฤษยังคงต้องการข่าวเพิ่มในเรื่องตำแหน่งของเรือ เรือ Bismarck มุ่งสู่อังกฤษเพื่อออกสู่แอตแลนติดโดยไม่รู่ว่าฝ่ายอังกฤษได้พยายามปิดเส้นทางอยู่ข้างหน้า ด้วยความโชคดีของฝ่ายเยอรมันสามารถพรางเรือผ่านหมอกหนาไปได้ แต่ก็ได้ไม่นาน เมื่อช่วงพลบค่ำท้องฟ้าสดใส ถือเป็นหายนะของฝ่ายเยอรมัน .. ฝ่ายอังกฤษเห็นเรือทั้ง 2 ลำ ของฝ่ายเยอรมันห่างออกไปประมาณ 7 ไมล์ แต่เนื่องจากฝ่ายอังกฤษมีเรือที่เล็กกว่าทำให้ไม่สามารถทำการโจมตีได้ จึงได้เรียกเรือที่ใหญ่กว่ามาช่วยเหลือ เรือเล็กพยายามติดตาม Bismarck ไม่ให้คลาดสายตา Bismarck ได้ทำการยิงปืนใหญ่ 5 ชุด เพื่อสกัด แต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องจากฝ่ายอังกฤษมีเรด้าห์ที่ทันสมัยกว่าเยอรมัน ทำให้รู้ระยะในการติดตามที่ปลอดภัย และยังมีเรือที่มีความเร็วมากกว่า สามารถหลบหนีได้ง่าย และได้รายงานตำแหน่งเรือ Bismarck ให้ทางฝ่ายอังกฤษได้ทราบ

  • วันที่ 5 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (23 พฤษภาคม 1941) เวลา 9.00 น. เรือ H.M.S. Hood และ Prince of Wales แล่นด้วยความเร็วรวมกันถึง 60 ไมล์ต่อชั่วโมง พร้อมที่จะทำการต่อสู้กับเรือ Bismarck แต่ฝ่ายเยอรมันยังไม่รู้ว่าฝ่ายอังกฤษได้เข้าใกล้ขนาดไหนแล้ว ผลจากการยิงทำให้เรด้าห์ของฝ่ายเยอรมันมีปัญหา ต่อมาเรือ Bismarck ได้พบเรือ H.M.S. Hood การต่อสู้จึงเริ่มขึ้น Hood เริ่มยิงเรือ Prinz Eugenของเยอรมัน Bismarck จึงทำการยิงโต้ตอบ ด้วยปืนใหญ่ขนาด 15 นิ้ว ที่เรือ Hood โดยยิ่งโดนที่ดาดฟ้าเรือ และคลังกระสุน Bismarck ยังคงโจมตีต่อ ปืนใหญ่ของ Hood เสียหายมาก จึงต้องกลับลำเรือเพื่อใช้ปืนอีกฝั่ง เรือ H.M.S. Hood โดนยิงที่ฐานปืนอีก จนได้รับความเสียหายมาก กระสุนหลายนัดเจาะเรือ Hood แตก ทำให้เรือจมลงอย่างรวดเร็ว ภายใน 8 นาที จากลูกเรือ H.M.S. Hood 1 พันกว่าชีวิตเหลือรอดมาเพียง 3 คน เหตุที่รอดมาเพียง 3 คนนั้นเนื่องจากห้องไอน้ำของเรือเกิดระเบิดใต้น้ำขณะที่เรือจมลงไป ทำให้เกิดฟองอากาศดันตัวคน 3 คนนี้ขึ้นมาจากแรงดึงดูดของน้ำที่เป็นผลมาจากการจมของเรือ

  • วันที่ 6 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (24 พฤษภาคม 1941) Bismarck ได้ฝ่าการปิดล้อมของฝ่ายอังกฤษได้ และได้จมเรือ H.M.S. Hood ของอังกฤษอย่างง่ายดายภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที ยังเหลือเรือ Prince of Wales ขนาด 44,000 ตัน อีก 1 ลำ ซึ่งโดนยิงไป 4 นัด ทำให้ปืนใหญ่มีปัญหา ภายหลังจากการสู้รบ 21 นาที Prince of Wales จึงต้องล่าถอยไป ส่วนฝ่าย Bismarck ได้รับความเสียหาย โดยถูกยิง 3 นัด ที่หัวเรือ และถังเก็บเชื้อเพลิง เป็นผลให้เชื้อเพลิงรั่ว Bismarck จึงทำการเปลี่ยนแผนโดยจะแยกกับเรือ ปรินซอเก้น โดย Bismarck จะนำเรือเข้าอู่ที่ฝรั่งเศส ในวันเดียวกันนี้เอง ทางฝ่ายอังกฤษได้รับข่าวสารที่แจ้งถึงการจมของ H.M.S. Hood ชาวอังกฤษมีความเสียใจอย่างมาก และเตรียมที่จะเล่นงาน Bismarck Winston Churchillนายกของอังกฤษมีคำสั่งให้จมbismarck(Sink The Bismarck) โดยอังกฤษระดมทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อจัดการกับเรือ Bismarck และได้ทำการติดต่อทุกหน่วย เพื่อหาตำแหน่งของเรือ Bismarck เรืออังกฤษ 40 ลำ ทำการออกลาดตระเวณหาเรือ Bismarck และ Bismarck กำลังมุ่งหน้าสู่ฝรั่งเศสตามลำพัง ในเวลาประมาณ 4 ทุ่ม เรือบรรทุกเครื่องบินของอังกฤษชื่อ H.M.S. Victorious ทำการส่งเครื่องบิน 9 ลำ ไปทิ้งระเบิดเตอร์ปิโดเรือ Bismarck เรือ Bismarck ทำการยิงตอบโต้ใส่เครื่องบินฝ่ายอังกฤษ แต่ไม่เป็นผล ในระยะ 400-500 หลา เครื่องบินได้ทิ้งเตอร์ปิโด และยิงโดนเป้าหมาย เป็นผลให้ห้องไอน้ำของเรือ Bismarck ได้รับความเสียหาย แต่ไม่มาก ฝูงบินบินกลับสู่เรือเวลาประมาณ ตี 2 อย่างปลอดภัยทุกลำ Bismarck ใกล้ที่จะถึงฝั่งของฝรังเศสแล้ว

  • วันที่ 8 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (26 พฤษภาคม 1941) เรือ Bismarck ต้องเล่นด้วยความเร็วที่ช้า เพื่อประหยัดเชื้อเพลิง ขณะนั้น เครื่องบินลาดตระเวณของอังกฤษชื่อ คาตาลินา บินออกหาเรือ Bismarck เมื่อเวลา 10.30 น. ก็พบเรือ Bismarck และได้ทำการตอบโต้กัน แต่คาตาลินาได้หนีจากการโจมตีไปได้ Bismarck โดนเตอร์ปิโดยิงที่หางเสือ ไม่สามารถซ่อมแซมได้ ฝ่ายกองเรืออังกฤษกำลังใกล้เข้ามา ไม่มีอะไรที่สามารถช่วยเรือ Bismarck ได้เนื่องจากยังอยู่ห่างจากฝั่งของฝรั่งเศส
  • วันที่ 9 ของปฏิบัติการ Exercise Rhine (27 พฤษภาคม 1941) เวลาประมาณ 8.00 น. ฝ่ายอังกฤษพบเรือ Bismarck ลอยลำอยู่ จนถึงเวลา 8.47 น. เรืออังกฤษหลายลำเปิดฉากยิงเรือ Bismarck และ Bismarck ก็ได้ทำการตอบโต้เท่าที่ทำได้ ในที่สุดเรือ Bismarck ถูกระดมยิงอย่างหนักจากฝ่ายราชนาวีอังกฤษที่มีเรือมากกว่า เป็นผลให้เรือ Bismarck ถูกยิงบริเวณด้านหน้าไป 2 นัด และห้องบัญชาการอีก 1 นัด Bismarck ได้รับความเสียหายอย่างมาก ถึงจุดนี้ ฝ่ายอังกฤษมีความมั่นใจว่า Bismarck ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว และกลายเป็นเป้านึ่งไปในที่สุด Bismarck โดนยิงตลอดทั้งลำรวมประมาณ 400 นัด และค่อยๆ จมลงอย่างช้าๆ ฝ่ายอังกฤษต้องการที่จะจมเรือ Bismarck ให้ได้จึงปล่อยเตอร์ปิโดยิงใส่เรือ Bismarck จากลูกเรือ 22,000 คน เหลือรอดชีวิต 800 คน แต่ได้รับการช่วยเหลือเพียง 115 คน ส่วนที่เหลือต้องปล่อยให้เผชิญชะตากรรมด้วยตัวเองต่อไป ฝ่ายอังกฤษได้ช่วยเหลือลูกเรือ Bismarck จำนวน 115 คน ในฐานะผู้ประสพภัยหาใช่ศัตรูไม่

  • หลังจากการจมเรือ Bismarck กองกำลังทางอากาศมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 2 และ 7 เดือนให้หลังของการจมเรือ Bismarck ญี่ปุ่นก็ได้เข้าสู่สงครามอย่างเต็มตัว อันเนื่องมาจากผลของเศรษฐกิจที่ตกประกอบกับสหรัฐได้หยุดทำการค้ากับญี่ปุ่น อันเนื่องมาจากความต้องการของญี่ปุ่นที่จะเข้ามาครอบครองดินแถบเอเชียอาคเนย์ โดยวันที่ 7 ธันวาคม 1941 (เป็นวันที่ 8 ธันวาคมของญี่ปุ่น)กองบินญี่ปุ่นได้บินเข้ามาโจมตีท่าเรือสหรัฐที่อ่าว Pearl เป็นผลให้สหรัฐได้ร่วมเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัว